ไม่ว่าคุณจะมีความเห็นอย่างไรต่อรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนคงเห็นพ้องกันคือ ไตรมาสแรกของทรัมป์ในทำเนียบขาว เต็มไปด้วยเหตุการณ์มากมาย ประธานาธิบดีสหรัฐฯ รับบทเป็นทั้งผู้สร้างสันติภาพและนักรบทางการค้าในเวลาเดียวกัน ซึ่งส่งผลให้ตลาดทั่วโลกต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด มาตรการภาษีที่ครอบคลุมสินค้านำเข้าที่เป็นเหล็กและอะลูมิเนียม รวมถึงภาษีเฉพาะที่กำหนดเป้าหมายไปยังสินค้าจากจีน แคนาดา และเม็กซิโก ได้เพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากนักลงทุนยังไม่สามารถประเมินผลกระทบทั้งหมด จากนโยบายเศรษฐกิจของพรรครีพับลิกัน ที่มีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในอเมริกาได้อย่างชัดเจน ทั้งดัชนี Nasdaq 100 และ S&P 500 ได้ปรับตัวลดลงตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง โดยทั้งสองดัชนีร่วงลง 5.03% และ 2.61% ตามลำดับ นับตั้งแต่ต้นปี ณ วันที่ 26 มีนาคม 2025
ในตอนนี้ เส้นตาย 2 เมษายน ของทรัมป์ใกล้เข้ามาทุกที และมีแนวโน้มว่า สถานการณ์อาจเลวร้ายลงก่อนที่จะดีขึ้น การสิ้นสุดของการชะลอการเก็บภาษี 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก อาจทำให้ตลาดผันผวนมากขึ้น ในขณะเดียวกัน อัตราภาษี 20% ที่บังคับใช้กับสินค้าจีนอยู่แล้ว อาจถูกขยายขอบเขตเพิ่ม และยังมีโอกาสที่สหรัฐฯ จะคว่ำบาตรประเทศที่ซื้อน้ำมันจากเวเนซุเอลาอีกด้วย แม้แต่พันธมิตรดั้งเดิมอย่างสหภาพยุโรป ออสเตรเลีย บราซิล ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ก็อาจถูกกำหนดเป็นเป้าหมายด้านมาตรการภาษีด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนกังวลที่สุดคือ ผลกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัทอเมริกัน ที่พึ่งพาการค้าแบบปลอดภาษีกับประเทศเหล่านี้ ในบทความนี้ เราจะมาพูดคุยถึงสองเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
การดันราคาสูงขึ้น
แม้ว่าทรัมป์จะเคยเชื่อว่า การตั้งภาษีนำเข้าที่สูง จะทำให้สินค้าจำเป็นแพงขึ้นสำหรับชาวอเมริกัน ซึ่งรวมถึงผู้ผลิตและภาคธุรกิจต่าง ๆ หนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด จากการเรียกเก็บภาษี 25% จากแคนาคาและเม็กซิโกคือ อุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งมีการแข่งขันสูง การผลิตรถยนต์ยี่ห้อดังของสหรัฐฯ เช่น Ford, Chevrolet และ Dodge ส่วนใหญ่อยู่ในเม็กซิโก การตั้งภาษีนำเข้าในระดับนี้ จะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ ได้รับแรงกดดันในระยะกลาง การนำภาษีตอบโต้มาใช้กับทุกประเทศ อาจไม่ได้รุนแรงเท่าที่คาด โดยทรัมป์ได้อธิบายว่า การใช้มาตรการดังกล่าวจะ "เป็นการผ่อนปรนมากกว่าตอบโต้" โดยจะไม่นำอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร เช่น VAT มาคำนวณในการเรียกเก็บภาษีศุลการแบบตอบโต้
แต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจได้รับผลกระทบไปแล้ว โดยความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อธุรกิจ รายได้ และแรงงานจาก Conference Board ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 12 ปี เนื่องจากความไม่แน่นอน ว่าใครและอะไรจะได้รับผลกระทบบ้าง ยกตัวอย่างเช่น หากสินค้าจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม สิ่งนี้อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อผู้ผลิตสินค้าเทคโนโลยีและสินค้าอุปโภคบริโภคจำนวนมาก ที่ใช้ชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์สำเร็จจากประเทศเหล่านี้ โดยในเกือบทุกกรณี ผู้บริโภคปลายทางจะได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่สำหรับบริษัทจำนวนมาก ยอดขายจะลดลงเนื่องจากผู้บริโภคลดการใช้จ่ายลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้น เนื่องจากรายได้ที่ลดลงสำหรับนักลงทุนรายย่อย หากสงครามการค้ายังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องและรุนแรง
วิธีสู่ความบ้าคลั่ง
บ่อยครั้งมีคนกล่าวว่า เราควรดูสิ่งที่ทรัมป์ทำ ไม่ใช่แค่ฟังสิ่งที่เขาพูด เขามักใช้วาทศิลป์ที่ดุดัน เพื่อกดดันคู่ค้าระหว่างประเทศ และนำพาผู้คนเข้าสู่โต๊ะเจรจา จริงๆ แล้ว การแสดงความเห็นล่าสุดของเขาเกี่ยวกับ “การผ่อนปรน” และ “ข้อยกเว้นที่เป็นไปได้” บ่งบอกว่า ทรัมป์ต้องการบรรลุข้อตกลงมากกว่าที่จะปรับขึ้นภาษีศุลกากรรอบใหม่ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อธุรกิจและผู้บริโภคชาวอเมริกัน ไม่น้อยไปกว่าประเทศเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ในความเป็นจริง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ ถึงกับประกาศอย่างชัดเจนว่า ประเทศต่างๆ สามารถเจรจาล่วงหน้ากับสหรัฐฯ หรือเลือกที่จะยกเลิกการเรียกเก็บภาษีของตนเองได้โดยสมัครใจ เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีตอบโต้ชุดใหม่ในวันที่ 2 เมษายน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี ได้พบกับทรัมป์เมื่อเดือนที่ผ่านมา เพื่อพยายามและเตรียมพร้อมล่วงหน้า โดยทั้งสองประเทศตกลงที่จะเจรจาแก้ไขข้อพิพาทด้านภาษี และดำเนินการเฟสแรกของข้อตกลงให้แล้วเสร็จ ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2025 โดยมีเป้าหมายสูงสุดในการเพิ่มมูลค่าทางการค้าทั้งสองทาง เป็น 5 แสนล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030
ในขณะเดียวกัน สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ มีกลยุทธ์อยู่สองด้าน แน่นอนว่า ทรัมป์ต้องการเจรจาข้อตกลงการค้าที่ดียิ่งขึ้น ระหว่างสหรัฐฯ กับเพื่อนบ้านทางเหนือและใต้ อย่างไรก็ตาม เขายังมีแรงจูงใจให้ผู้ผลิตรถยนต์ย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐที่เคยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม เช่น มิชิแกน โอไฮโอ เทนเนสซี และแอละแบมา ในระยะยาว กลยุทธ์นี้อาจช่วยเพิ่มความมั่งคั่งให้กับชาวอเมริกันโดยรวม และชดเชยต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นได้ง่ายขึ้น หากสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับจีน สิ่งนี้จะช่วยให้ทั้งสองประเทศและเศรษฐกิจโลก เดินหน้าสู่เส้นทางแห่งความมั่นคั่ง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทั้งราคาตราสารทุน และมาตรฐานการใช้ชีวิตของคนในประเทศ อย่างไรก็ตาม การแข่งขันระหว่างรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกจากจีน และรถยนต์ที่ผลิตในสหรัฐฯ รุ่นใหม่ อาจรุนแรงจนทรัมป์จำเป็นต้องกำหนดภาษีเพิ่มบางอย่าง กับรถนำเข้าจากจีน เพื่อให้รถแบรนด์อเมริกัน เช่น Tesla ยังคงความสามารถในการแข่งขัน
เทรดหุ้นสหรัฐฯ และ CFD ตัวอื่นๆ ด้วย Libertex
ด้วย Libertex คุณสามารถเลือกเทรด CFD ได้มากมายกับทุกอย่าง เริ่มตั้งแต่หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และ ETF ไปจนถึงดัชนี ฟอเร็กซ์ และคริปโต CFD ที่ Libertex ให้บริการ ประกอบไปด้วยดัชนีสำคัญของโลก เช่น S&P 500, Nasdaq 100, และ EURO STOXX 50 รวมถึงหุ้นรายตัว เช่น Ford, Tesla และ Nvidia หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติม หรือสร้างบัญชีของคุณเอง โปรดไปที่ www.libertex.org/signup วันนี้!